วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

การท่องเที่ยวเกาหลี

                                                                  การท่องเที่ยวเกาหลี
                                                               ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ข้อมูลท่องเที่ยวเกาหลี                    เกาหลี ตั้งอยู่บนคาบสมุทรเกาหลี ระหว่างทะเลตะวันออก (East Sea) ใกล้ๆ กับญี่ปุ่น กับทะเลเหลือง (Yellow Sea) ถูกแบ่งออกเป็นสอง ส่วนที่บริเวณเส้นขนานที่ 38 โดยมีเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone : DMZ) หรือพันมุนจอม (Panmunjeom) คั่นกลางไว้ ด้านเหนือปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ คือเกาหลีเหนือ โดยมีรัสเซียหนุนหลัง ส่วนด้านล่างปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย โดยมีสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ นั่นคือเกาหลีใต้ 

เกาหลีใต้มีพื้นที่ 99,500 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาซึ่งมีถึงร้อยละ 70 ดังนั้นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเกาหลีจึงมีมากมาย คนเกาหลีเองนิยมไปปีนเขากันในวันหยุดวันเสาร์ อาทิตย์ด้วย 

เกาหลีใต้มีประชากรประมาณ 49 ล้านคน โดย 1 ใน 4 ของประชาการทั้งประเทศจะเข้ามาอาศัยและทำงานในกรุงโซลซึ่งเป็นเมืองหลวง
 สภาพภูมิอากาศ
เกาหลีอยู่ในเขตอบอุ่นซึ่งมีอยู่ 4 ฤดูกาลใน 1 ปี
  • ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 7 ถึง 13 องศาเซลเซียส
  • ฤดูร้อน ปลายเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25 ถึง 35 องศาเซลเซียส
  • ฤดูใบไม้ร่วง ปลายเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 5 ถึง 15 องศาเซลเซียส
  • ฤดูหนาว เดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม อุณหภูมิอยู่ระหว่าง -10 ถึง 5 องศาเซลเซียส
 เวลา
ประเทศเกาหลี เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
 ภาษา
ประชากรใช้ภาษาเกาหลีเป็นภาษาหลัก ส่วน ภาษาอังกฤษสามารถใช้ได้กับประชากรส่วนน้อย
 เงินตราและบัตรเครดิต
สกุลเงินของเกาหลีคือ วอน โดยสัญลักษณ์ "W" เหรียญกษาปณ์แบ่งออกเป็น 1, 5, 10, 50, 100 และ 500 วอน ธนบัตรมี 1000, 5000 และ 10,000 วอน อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ประมาณ 1,200 วอน ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ถ้านำมาเทียบกับเงินบาทไทย 1 วอนจะมีค่าเท่ากับ 0.030 บาท (อัตราตามธนาคารกรุงเทพ ณ วันที่ 07 เม.ย. 2553)

การแลกเงินสามารถแลกได้ที่สนามบินเมืองไทยในวันเดินทาง (หากต้องการแลกที่สนามบินเกาหลีหรือ โรงแรมที่เกาหลีใต้ ต้องใช้ เงินยูเอสดอลล่าร์ ($US) แลกเท่านั้น) เงินบาทไทย ใช้ที่เกาหลีไม่ได้ และไม่มีที่รับแลกเปลี่ยน 

ถ้ามีเงินยูเอสดอลล่าร์ นำไปแลกที่เกาหลี จะได้ราคาค่อนข้างดี
บัตรเครดิต บัตรเครดิตสากลทุกชนิด ใช้ในตามร้านใหญ่ๆ ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากทางธนาคาร และแต่ละร้านนั้น ๆ ว่ารับบัตรเครดิตชนิดใด อาจจะถูกเรียกเก็บค่าบริการการใช้บัตรเพิ่ม
 ระบบไฟฟ้า
ระบบไฟฟ้าในเกาหลีใช้ไฟ 220 โวลท์ (เหมือนประเทศไทย) เป็นปลั๊กกลม 2 หรือ 3 ขา (มีสายดิน) ฉะนั้นท่านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น กล้องวิดิโอ โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องเป่าผมควรมีปลั๊กแบบใช้ได้ทั่วโลกติดตัวไปด้วย เพื่อความสะดวกของท่านกรุณาเตรียม ฟิล์มถ่ายรูป, แบตเตอร์รี่ ไปให้เพียงพอจากประเทศไทย


ตัวอย่างปลั๊กไฟในเกาหลี
ฟิลม์และกล้องถ่ายรูป
ควรเตรียมไปให้เพียงพอโดยเฉพาะฟิล์มเพราะที่ต่างประเทศราคาจะสูงมากโดยเฉพาะ ตามสถานที่ท่องเที่ยว และควรเตรียมถ่านใส่กล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะอากาศเย็นถ่านจะเสื่อมสภาพเร็ว
 การใช้โทรศัพท์
บัตรโทรศัพท์มีขายทั่วไป ตามเคาน์เตอร์โรงแรม, ซุปเปอร์มาร์เก็ต ราคา 3,000 / 5,000 และ 10,000 วอน 
โทรกลับประเทศไทย
กรุงเทพฯ : 001-66-2-หมายเลขโทรศัพท์เจ็ดหลัก
ต่างจังหวัด : 001-66-ตามด้วยรหัสจังหวัด-หมายเลขโทรศัพท์หกหลัก
โทรศัพท์ระบบ HUTCH นำไปใช้ได้เลยโดยขอเปิด ROMMING ใช้บริการในต่างประเทศ ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 7 วัน
 การให้ทิป
การให้ทิปในประเทศเกาหลีมีความสำคัญมาก โดยปกติตามร้านอาหาร,โรงแรมจะไม่มีบริกร คอยอำนวยความสะดวก ผู้ใช้บริการต้องดูแลตัวเอง อาทิ นำกระเป๋าขึ้นห้องพักเอง ดังนั้นถ้าใช้บริการของพนักงานควรให้ทิปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนคนขับรถ ไกด์ท้องถิ่น ที่อำนวยความสะดวกระหว่างทัวร์ ปกติเฉลี่ยวันละ 3,000 วอน / คน / วัน
 อาหารการกิน
อาหารนานาชนิดมากหลายพบได้ในประเทศเกาหลี แรกเริ่มเดิมทีเกาหลีเป็นประเทศเกษตรกรรม และชาวเกาหลีเพาะปลูกข้าวเป็นอาหารหลักมาตั้งแต่โบราณกาล มาในสมัยนี้อาหารเกาหลีจะเป็นตำหรับซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์นานาชนิด ปลา พร้อมด้วยพืชสีเขียวและผักต่างๆ อาหารหมักดองต่างๆ เช่น กิมจิ จอทกอล (jeotgal) (อาหารทะเลหมักเกลือ) และ ดนจัง (deonjang) (ถั่วเหลืองหมักเหลว) ขึ้นชื่อในรสชาติโดยเฉพาะและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
 รายการช้อปปิ้ง
เครื่องแต่งกาย, อุปกรณ์กีฬา, เครื่องหนัง และสินค้าประเภทขนสัตว์, เพชรนิลจินดา, ของเก่าและวัตถุโบราณ, โสม, ศิลปะและงานฝีมือพื้นเมือง, เหล้าและชาพื้นเมือง, กิมจิและอาหารอื่นๆ
 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
  • พระราชวังเคียงบก
  • หอคอยโซล
  • หมู่บ้านนัมซานกลฮันอก
  • โรงละครแห่งชาติ
  • ตลาดนัมแดมุน
  • ตลาดทงแดมุน
  • หมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลี
  • ป้อมฮวาซอง
  • เอเวอร์แลนด์
  • อุทยานแห่งชาติเขาซอรักซาน
  • สถานเล่นสกียงเพียง (หุบเขามังกร)
  • พิพิธภัณฑ์แท็ดดีแบร์
  • เกาะนามิ
 เทศกาลสำคัญ
  • เทศกาลภาพยนตร์เมืองปูซาน : ตั้งแต่เดือน ก.ย.-ต.ค. ของทุกปี ผู้ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ ต้องไม่พลาดเทศกาลหนังที่เมืองปูซานที่โรงละคร Nampo-dong และเวทีกลางแจ้งบริเวณอ่าว Suyeongman ในเทศกาลนี้ คุณจะได้ชมภาพยนตร์กว่า 200 เรื่องจาก 60 ประเทศ รวมถึงหนังสารคดี และภาพยนตร์เคลื่อนไหวต่างๆ
  • เทศกาลดอกไม้บาน (ช่วงฤดูใบไม้ผลิ) : เกาหลีเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่เดือนมีนาคม ดอกไม้หลากชนิดจะออกดอกกันในตอนนี้ ดอกเรปซีดจะออกดอกไปทั่ว บริเวณ นอกจากนั้นยังมีดอกซากุระ ดอกอาเซลเลีย ดอกฟอร์ซีเทีย และดอกแมคโนเลียที่กลิ่นหอม ภูเขาและสวนของเกาหลีจะเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ น่าดู
  • เทศกาลโคลนโพเรียง (Boryong Mud festival) (ช่วงฤดูร้อน) : เทศกาลโคลนโพเรียง นี้นักท่องเที่ยวจะได้รับความสนุกสนานจากการนวดโคลน การเพ้นท์ร่างกายด้วยโคลนและอื่นๆอีก การเล่นสไลเดอร์บนโคลน การเล่นถังโคลนยักษ์ และโปรแกรมที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและการแข่งขันต่างๆ รวมทั้งของรางวัลต่างๆมากมาย
  • เทศกาลระบำหน้ากากนานาชาติอันดอง (Andong International Mask Dance festival) (ช่วงฤดูใบไม้ร่วง) : เทศกาลระบำหน้ากากนานาชาติอันดองจัดขึ้นริมแม่น้ำในหมู่บ้านมีการแสดง ระบำหน้ากากฮาโฮเป็นจุดเด่นรวมถึงระบำหน้ากากของเกาหลีและของต่างประเทศและละคร ฮาโฮเบียวซินกุต ทัลลอรี (Hahoe Byeolsingut Tallori) ละครรำหน้าการนักบวชซึ่งได้มีการเล่นมากว่า 500 ปีในหมู่บ้านฮาโฮ ซึ่งสวดขอพรเทวดาผู้พิทักษ์ให้มีสุขภาพดีและสันติสุขในชุมชน เพิ่มเติมสีสันด้วยคำถากถางอันเผ็ดร้อนต่อ บรรดาชนชั้นสูงที่ทุจริตและพระที่กระทำผิดหรือพระที่ฟุ่มเฟือย
  • เทศกาลตกปลาน้ำแข็ง ( Icefish festival) (ช่วงฤดูหนาว) : ที่มีขึ้นเพียงปีละครั้ง ตลอดกลางเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ท่านสามารถจับปลาตัวเป็นๆ ทั้งเล็กและใหญ่ด้วยสองมือ หรือเช่าอุปกรณ์ตกปลา ท่านสามารถที่จะเจาะน้ำแข็งเพื่อจับปลาบิงออตัวเป็น ๆ ด้วยอุปกรณ์ตกปลาที่มีเหยื่อหนอนตัวเล็ก ๆ เป็นตัวล่อ รับประทานปลาสด ๆ แบบซาซิมิ หรือย่างปลาสด หรือทอดปลาสด เดินเล่นบนลานน้ำแข็ง

การท่องเที่ยวฮ่องกง



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การท่องเที่ยวฮ่องกง
                                                                    การท่องเที่ยวฮ่องกง
ฮ่องกง เป็นเสมือนประตูที่เปิดไปสู่ประเทศจีน เสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก อาหาร และเป็นแหล่งช้อปปิ้งในเกาะแห่งนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาแวะเวียนได้เสมอ ทุกคนทราบดีถึงความคึกคักในตัวเมือง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงมุมที่แสนเงียบสงบซึ่งจริงๆแล้วมีอยู่ทั่วไป มุมที่ดูเหมือนเวลาจะหยุดอยู่กับที่ 

ในฮ่องกงนั้นแบ่งออกเป็น 4 เขตใหญ่ คือ เขตเกาลูน เขตเกาะฮ่องกง เขตนิวแทริทอรี่ส์ และ หมู่เกาะรอบนอก เขตเกาลูนและเขตนิวแทริทอรี่ส์ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือของอ่าววิคตอเรีย เกาะฮ่องกงเองตั้งอยู่ทางด้านใต้ของอ่าวตรงกันข้ามกับเกาลูน ส่วนหมู่เกาะรอบนอกนั้นหมายถึงบรรดาเกาะต่างๆกว่า 200 เกาะรอบๆบริเวณเกาะฮ่องกง 

เกาะฮ่องกงถือเป็นศูนย์กลางในบริเวณรอบอ่าววิคตอเรีย เขตธุรกิจหลักที่มีชื่อเสียงได้แก่ "ย่านเซ็นทรัล" ทางตะวันออกของย่านเซ็นทรัลที่เป็นเขตการค้าที่สำคัญ คือ ย่านหว่านไจ๋ ซึ่งเป็นย่านอาหารการกินและแหล่งสังสรรค์์ยามค่ำคืน ส่วนคอสเวย์เบย์เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่คึกคักมากที่สุดในเกาะฮ่องกง นอกจากนี้บนเกาะฮ่องกงยังมียอดเขาวิคตอเรียพีกอันเป็นจุดสูงสุดของเกาะ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์และเขตที่พักอาศัยในตัวเมืองได้

ในเขตเกาลูน ย่านจิมซาจุ่ยและจอร์แดน เป็นบริเวณที่ชุกชุมไปด้วยโรงแรมและสถานที่ช้อปปิ้ง เช่นเดียวกันกับย่านหม่องก๊อกอันเป็นเขตช้อปปิ้งที่คึกคักอีกแห่งหนึ่งของฮ่องกง
                                                                                                                 ฟิลม์และกล้องถ่ายรูป
ควรเตรียมไปให้เพียงพอโดยเฉพาะฟิล์มเพราะที่ต่างประเทศราคาจะสูงมากโดยเฉพาะ ตามสถานที่ท่องเที่ยว และควรเตรียมถ่านใส่กล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะอากาศเย็นถ่านจะเสื่อมสภาพเร็ว
 การใช้โทรศัพท์
โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถใช้ที่ฮ่องกงได้ โดยท่านต้องขอเปิดใช้บริการ IR INTERNATIONALROAMING กับระบบโทรศัพท์ของท่านก่อนเดินทาง เพื่อความสะดวกควรใช้บัตรโทรศัพท์ที่มีขายในโรงแรมทั่วไป โดยหมุน 001-66-2 (2-กรุงเทพฯ / 38-ชลบุรี / 53-เชียงใหม่) ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์มือถือ 001-66-1 (หมายเลขนำหน้าของโทรศัพท์มือถือ) ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ
 การให้ทิป
ทิปไกด์ท้องถิ่นวันละ 10 เหรียญฮ่องกงต่อวัน และคนขับรถวันละ 10 เหรียญฮ่องกงต่อวัน (การให้ทิปในต่างประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง)
 อาหารการกิน
อาหารกวางตุ้งเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของฮ่องกง ที่ฮ่องกงมีอาหารจีนท้องถิ่นมากมาย รวมไปถึงอาหารนานาชาติไม่ว่าจะเป็นอาหารจากประเทศต่างๆในเอเชีย หรืออาหารจากประเทศตะวันตก
 รายการช้อปปิ้ง
  • สินค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องหนัง และสินค้าแบรนด์เนม
  • สินค้าประเภทเครื่องประดับ อัญมณี และนาฬิกา
  • สินค้าประเภทเครื่องสำอาง
  • เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ Audio และเครื่องใช้ Visual
  • สินค้าประเภทของเล่น
  • สินค้าประเภทของทะเลตากแห้ง โสม และเขากวาง
  • สินค้าประเภทงานหัตถศิลป์ (Handicrafts)
  • ขนมต่างๆ Chinese Assorted Cakes
 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
  • วิคตอเรีย พีค
  • เลดี้ส์ มาร์เก็ต
  • รีพัลส์ เบย์
  • อะเวนิว ออฟ สตาร์
  • หอนาฬิกา
  • โกลเด้น โบฮิเนีย สแควร์
  • ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์
  • โอเชี่ยนปาร์คฮ่องกง
  • วัดซิก ซิก หยวน หว่องไทซิน
  • เทมเปิล สตรีท
 เทศกาลสำคัญ
  • ฮ่องกงวินเทอร์เฟส : เทศกาลฉลองฤดูหนาวฮ่องกง หรือฮ่องกง วินเทอร์เฟส คือการฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่แสนมหัศจรรย์ มีกิจกรรมพิเศษทั้งสำหรับคู่รักและครอบครัว และการเลือกซื้อหาของขวัญคือ ความสุขในเทศกาลลดราคาประจำฤดูหนาว เพราะร้านค้าและภัตตาคารต่างๆ พร้อมใจกันมอบส่วนลดและข้อเสนอพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
  • เทศกาลฉลองตรุษจีน : การฉลองตรุษจีนเป็นเทศกาลงานฉลองที่สำคัญที่สุด มีทั้งตลาดดอกไม้หอมกรุ่น การแสดงดอกไม้ไฟอันตระการตา การแสดงแสงสีสวยงาม และการแข่งขันกีฬารายการพิเศษ โดยงานฉลองวันแรกของปีใหม่จีน จะเริ่มด้วยขบวนพาเหรดนานาชาติยามค่ำคืน ที่ประกอบด้วยรถแห่ วงโยธวาทิต ศิลปินและนักแสดงมากมาย

การท่องเที่ยวแคนาดา

                                                  


        การท่องเที่ยวแคนาดา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การท่องเที่ยวแคนาดา
           
               

ข้อมูลเที่ยวประเทศแคนาดา : ออตตาวา Ottawa

เมืองออตตาวา (Ottawa) 
 

 เป็นเมืองหลวงของประเทศแคนาดาและเป็นเมืองหลวงที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ด้วยความปลอดภัยและด้วยความสวยงามของเมืองออตตาวา ทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วทั้งเมือง อีกทั้งยังตื่นตาตื่นใจไปกับความบันเทิงหลากหลายรูปแบบในเวลากลางคืน จากการล่องเรือในแม่น้ำออตตาวาช่วงหน้าร้อนไปถึงการเล่นสเกตน้ำแข็งที่ คลอง Rideau ในช่วงหน้าหนาว ทำให้ออตตาวาเป็นเมืองที่มีกิจกรรมให้ทำตลอดทุกฤดู อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ปลอดภัย และมีประเพณีต่างๆ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อนุสาวรีย์ และสวนสาธารณะให้เที่ยวชมมากมาย จนทำให้ชาวต่างชาติพากันโยกย้ายเข้ามาพำนักอาศัย ดังนั้นเราจะพบเห็นผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ คนที่นี่ใช้ชีวิตเร่งรีบในตอนกลางวัน และสนุกสนานร่างเริงในยามค่ำคืน ผู้คนในเมืองนี้สนุกสนาน และน่าประทับใจ ไปกับร้านค้า ร้านอาหาร ผับจำนวนมากต่างรวมตัวกันอยู่ในตัวเมือง นับเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างชีวิตที่เร่งรีบในตอนกลางวันและชีวิตที่สนุกสนานรื่นเริงในตอนกลางคืน และออตตาวาเป็นเมืองแห่งกิจกรรมที่ท่านสามารถทำได้ครบทุกฤดูกาล ความแตกต่างของวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม การแสดง การเมือง และความเป็นสากลทำให้เมืองหลวงแห่งนี้มีทุกอย่างยกเว้นความซ้ำซากจำเจ ซึ่งจะมอบความตื่นเต้นให้กับผู้ที่เดินทางมาเยี่ยมชมอยู่ตลอดเวลา

เมืองออตตาวา (Ottawa) เมืองหลวงของแคนาดา เมืองที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสวยงาม และยังเป็นจุดศูนญ์รวมของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ให้เที่ยวชมมากมาย นั่นจึงทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกประทับใจทุกครั้งที่มีโอกาสมาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้อยู่เสมอเมืองออตตาวา เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำออตตาวา (Ottawa River) อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ และยังเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐออนแทรีโอ (Ontario) ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่บริวเณตอนกลางของประเทศแคนาดา  ซึ่งในปัจจุบันเมืองออตตาวาได้กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในทวีปอเมริกา และยังเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสะอาดเป็นอันดับ 2 ในแคนาดา และเป็นเมืองที่สะอาดเป็นอันดับ 3 ของโลกอีกด้วย สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองออตตาวาเมืองหลวงของประเทศแคนาดานั้น จัดปมายปลายทางแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปชม คือ การไปชมความยิ่งใหญ่ของ อาคารพาเลียเมนท์ ฮิลล์ (Parliament Hill) อาคารรัฐสภาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลัก ที่ผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยอาคารรัฐสภานั้นเป็นอาคารที่เป็นตัวอย่างที่ดีของอาคารที่สร้างขึ้นในสไตล์ฟื้นฟูกอธิค (Gothic Revival style)

ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1916 และเสร็จใน วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 โดยตัวอาคารนั้นตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองออตตาวา ซึ่งจากตรงนี้จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของแม่น้ำออตตาวาได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม อาคารหอศิลป์แห่งชาติแคนาดา (National Gallery of Canada) เป็นอาคารกระจกและอาคารหินแกรนิต ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Moshe Safdie ถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1880 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1988 ซึ่งภายในมีการจัดแสดงคอลเลกชัน ภาพวาด, รูปปั้น และรูปถ่ายเป็นจำนวนมาก โดยอาคารรัฐสภานั้นเป็นอาคารที่เป็นตัวอย่างที่ดีของอาคารที่สร้างขึ้นในสไตล์ฟื้นฟูกอธิค (Gothic Revival style) ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1916 และเสร็จใน วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 โดยตัวอาคารนั้นตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองออตตาวา ซึ่งจากตรงนี้จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของแม่น้ำออตตาวาได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม อาคารหอศิลป์แห่งชาติแคนาดา (National Gallery of Canada) เป็นอาคารกระจกและอาคารหินแกรนิต ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Moshe Safdie ถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1880 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1988 ซึ่งภายในมีการจัดแสดงคอลเลกชัน ภาพวาด, รูปปั้น และรูปถ่ายเป็นจำนวนมาก สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปเยือน ย่านออตตาวา ดาวน์ทาวน์ (Downtown Ottawa) ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ใจกลางเมืองออตตาวา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจของเมือง ซึ่งแยกออกเป็นโซนต่างๆ แต่ที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือนมากที่สุดก็คงจะเป็น ย่านถนนแอลจิน (Elgin Street ) เป็นถนนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ของเมืองออตตาวา ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของร้านค้า ร้านอาหาร บาร์ และอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก

การท่องเที่ยวออสเตรีย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การท่องเที่ยวออสเตรเลีย


                                                                       การท่องเที่ยวออสเตเลีย
ออสเตรเลีย มีชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า "เครือรัฐออสเตรเลีย" (Commonwealth Australia) ออสเตรเลียเคยเป็นประเทศอาณานิคม ของอังกฤษมาก่อน ปัจจุบันออสเตรเลียเป็นประเทศในจักรภพ ที่ตั้ง ประเทศอยู่บนเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันออสเตรเลีย ก็เป็นทวีปทีเล็กที่สุดในโลกด้วยออสเตรเลียเป็นประเทศ"ใหม่"แม้จะ มีประวัติความเป็นมาในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่ไม่ยาวนาน ไม่มี ร่องรอยอารยธรรมโบราณที่เป็นรากเหง้าของอารยธรรมโลก แต่ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีธรรมชาติสวยงาม หลากหลาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปเยือน มีเสน่ห์อย่างยิ่งด้วยความ มีน้ำใจและความเป็นกันเองของคนออสเตรเลียกับความสวยบริสุทธิ์ของ ธรรมชาติ 
สภาพภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของออสเตรเลียแตกต่างกันในแต่ละรัฐ สภาพอากาศทั่วไป จะเป็นแบบเขตร้อนจนถึงเขตอบอุ่น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดที่ทัสมาเนียประมาณ 0-12 องศาเซลเซียส และร้อนสุดที่มณฑลตอนเหนือประมาณ 33-34 องศาเซลเซียส
  • ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน-พฤศจิกายน อากาศดี ดอกไม้บานสวยงาม
  • ฤดูร้อน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ อากาศร้อนและแห้งแล้ง บางแห่งร้อนจัดและอาจมีไฟป่า
  • ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม-พฤษภาคม อากาศเริ่มเย็นลง ตามเมืองชายฝั่งทางตอนใต้และเมืองในเขตป่า ฝนจะตกชุก บางแห่งอาจมีน้ำท่วม
  • ฤดูหนาว มิถุนายน-สิงหาคม อากาศเย็นจัดมีหิมะตกบนเขตภูเขาสูงโดยทั่วไป
 การขอวีซ่า
 เวลา
ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้าง จึงมีความแตกต่าง ของเวลาตามมาตรฐานกรีนิช (Greenwich Mean Time, GMT) โดยจัดแบ่ง ออกเป็น 3 โซน ดังนี้
  • Eastern Standard Time-EST เร็วกว่าเวลา GMT 10 ชั่วโมงและเร็วกว่า ประเทศไทย 3 ชั่วโมง ใช้ในรัฐ New South Wales, Victoria, Tasmania, Queensland และ Canberra
  • Central Standard Time-CST เร็วกว่าเวลา GMT 9.5 ชั่วโมงและเร็วกว่า ประเทศไทย 2 ชั่วโมงครึ่ง ใช้ในรัฐ South Australia และเขตปกครอง Northern Territory
  • Western Standard Time-WST เร็วกว่าเวลา GMT 8 ชั่งโมงและเร็วกว่า ประเทศไทย 1 ชั่วโมง ใช้ในรัฐ Western Australia
  • Daylight Saving - ในช่วงฤดูร้อน ประเทศออสเตรเลียจะมีเวลาในช่วง กลางวันยาวนานกว่าในช่วงกลางคืน ดังนั้น ในรัฐ Victoria, New South Wales, South Australia และ Tasmania จึงมีการปรับเวลาให้ เร็วขึ้นจากเดิมอีก 1 ชั่วโมง ในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงมีนาคม
 ภาษา
ในออสเตรเลียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ
 เงินตรา
ออสเตรเลียใช้สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) โดย 1 ดอลลาร์ออสเตรเลียจะมีค่าเท่ากับ 100 เซ็นต์ และมีการแบ่งค่าของเงินดังนี้ คือ ค่าของธนบัตรมีแบบใบละ 5, 20, 50 และ 100 ดอลลาร์ ส่วนเหรียญที่ใช้ จะมี 2 แบบคือเหรียญทอง จะมีเหรียญละ 1 ดอลลาร์ และ 2 ดอลลาร์ ส่วนเหรียญเงินจะมีแบบเหรียญละ 5, 10, 20 และ 50เซ็นต์ ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินบาทไทยอยู่ที่ประมาณ 30 AUD ต่อ 1 บาท
 ระบบไฟฟ้า
ใช้กระแสไฟฟ้า 240-250 V, AC 50 Hz เหมือนประเทศไทย แต่ใช้ปลั๊ก แบบ 3 ขาถ้าจะนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปจากเมืองไทย เช่น วิทยุ ต้องใช้ Adapter ซึ่งหาซื้อได้ทั้งในประเทศไทยและออสเตรเลีย
ฟิลม์และกล้องถ่ายรูป
ควรเตรียมไปให้เพียงพอโดยเฉพาะฟิล์มเพราะที่ต่างประเทศราคาจะสูงมากโดยเฉพาะ ตามสถานที่ท่องเที่ยว และควรเตรียมถ่านใส่กล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะอากาศเย็นถ่านจะเสื่อมสภาพเร็ว
 การใช้โทรศัพท์
ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีการจัดการระบบโทรคมนาคมค่อนข้างซับซ้อน แต่โทรศัพท์สาธารณะที่สามารถโทรออกต่างประเทศนั้นสามารถหาได้ใช้ได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ทำการไปรษณีย์, ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, สถานีรถไฟหรือตามท้องถนนต่างๆ โดยมีทั้งแบบหยอดเหรียญ บัตรโทรศัพท์ และบัตรเครดิต การหาซื้อบัตรโทรศัพท์นั้นสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป (Milk Bar) 7eleven ร้านขายอุปกรณ์สื่อสาร และร้านค้าของคนจีนในย่าน China Town ส่วนอัตราค่าโทรศัพท์ ในพื้นที่เดียวกันจะเริ่มต้นที่ 40 เซ็นต์ ส่วนอัตราค่าโทรศัพท์ทางไกลไปต่างประเทศนั้นจะมีหลายราคา ตั้งแต่ 80 เซ็นต์ต่อนาที ไปจนถึงประมาณ AUD$ 2.5 ต่อนาที ขึ้นอยู่กับประเทศที่โทรไป 

รหัสทางไกลระหว่างประเทศของออสเตรเลียคือ 61 ถ้าจะโทรทางไกลจากออสเตรเลียมาไทยให้กด 0011 ตามด้วย 66 และกดหมายเลขโทรศัพท์ของสถานที่ที่ต้องการ
 การให้ทิป
การให้ทิปในต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง 
โดยเฉลี่ยค่าทิปสำหรับคนขับรถและไกด์ท้องถิ่น 3 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ 100 บาทต่อท่าน ต่อวัน
 อาหารการกิน
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรม การกินของชาวออสเตรเลียนอย่างแท้จริง แนะนำให้ไปลองชิม อาหารพื้นเมืองออสเตรเลียขนานแท้ ได้แก่ Shepherd Pie หรือจะเป็นอาหารจานโปรดของชาวออสซี่ เช่น Vegemite ถ้าเอ่ยถึงของหวานก็จะเป็น Lamington หรือ Lemmington ขนมหวานออสเตรเลียนที่ใครได้ลองเป็นต้องติดใจไปทุกราย ซึ่งนิยมทานกับน้ำชาหรือกาแฟยามบ่าย ทั้งหมดนี้ ท่านสามารถลิ้มลองได้จากร้านอาหารของโรงแรมในออสเตรเลีย ที่ท่านไปพัก นอกจากนี้ ในออสเตรเลียยังมีภัตตาคาร และร้านอาหารไทยอยู่มากมายตามเมืองต่างๆ เพราะมีชาวไทยไปเรียน และไปทำงานกันมาก
 รายการช้อปปิ้ง
สินค้าพื้นเมืองหัตถกรรม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม้แกะสลัก ครีมรกแกะ และอื่น ๆ อีกมากมาย
 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
  • ฮาร์เบอร์บริดจ์ (Harbour Bridge)
  • เทือกเขาสีน้ำเงิน (Blue Mountains)
  • สนามกีฬาโอลิมปิก (Homebush Bay/Sydney Olympic Stadium)
  • กรุงแคนเบอร์ร่า (Canberra)
  • ทะเลสาบกริฟฟิน (Lake Burley Griffin)
  • อนุสรณ์สถานทหารแห่งออสเตรเลีย (Australian War Memorial)
  • พิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น (Melbourne Museum)
  • บ้านกัปตันคุก (Captain Cook' s Cottage)
  • คิงส์ปาร์ก (Kings Park)
  • ลอนดอนคอร์ต (London Court)
  • ฯลฯ
 เทศกาลสำคัญ
  • Perth Royal Show Perth Royal Show งานนี้มีขึ้นทุกปีช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมปีละครั้ง ค่าผ่านประตูก็ 20เหรียญ ประมาณ 600 บาท ในงานก็จะมีของเล่นต่างๆสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ มีสัตว์มาโชว์ด้วย มีของขาย แล้วก็มีการแสดงต่างๆ งานจัดแสดงด้านเกษตรกรรมของออสเตรเลียเป็นงานที่ห้ามพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีความบันเทิงมากมาย รวมทั้งการแข่งขันของสุนัขเลี้ยงแกะ การกระโดดข้ามรถเสี่ยงตาย การแข่งขันของสุกร คนเดินบนไม้ต่อขา ดอกไม้ไฟ การแสดงทำอาหาร พาเหรดปศุสัตว์ เครื่องเล่นหลายรายการ และอื่น ๆ
  • Artrage อาร์ทเรจ (Artrage) – เทศกาลศิลปะร่วมสมัยและวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนตุลาคมรอบเขตชานเมืองนอร์ธบริดจ์ โดยเป็นการเฉลิมฉลองศิลปินผู้มีพรสวรรค์หน้าใหม่ ๆ ของเวสเทิร์นออสเตรเลีย เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน พร้อมกับแขกรับเชิญจากต่างรัฐและต่างประเทศ
  • Gay Pride March พาเหรดเกย์ไพรด์ (Gay Pride March) – พาเหรดนี้อยู่ในปฏิทินงานต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 1990 โดยเป็นการเดินขบวนที่มีสีสันในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเทศกาล Pride ในเดือนตุลาคม ทั้งนี้ การเดินขบวนเริ่มต้นจากแยกถนน บริสเบน (Brisbane St) และถนนวิลเลี่ยม (William St.) ทางตอนเหนือของนอร์ธบริดจ์
  • Fremantle Festival & Street Arts Festival เทศกาลฟรีแมนเทิล & เทศกาลการแสดงตามท้องถนน (Fremantle Festival & Street Arts Festival) – เทศกาลฟรีแมนเทิลถูกจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เพื่อเฉลิมฉลองวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยสีสันของเมืองนี้ ในขณะที่เทศกาลการแสดงตามท้องถนนอีสเตอร์ ดึงดูดผู้ชมได้ถึง 100,000 กว่าคน ที่มาชมการแสดงของเหล่านักแสดงที่มีฝีมือที่สุดในโลก
  • Perth International Arts Festival เทศกาลศิลปะนานาชาติเพิร์ท (Perth International Arts Festival)– จัดขึ้น ในเดือนพฤศจิกายนโดยงานนี้เป็นเทศกาลศิลปะนานาชาติที่เก่าแก่ทีสุดของออสเตรเลีย ซึ่งมุ่งจะนำศิลปะเข้ามาผสมผสานในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ใช่แต่เพียงผู้ชื่นชอบศิลปะ ยังครอบคลุมดนตรี ละคร ภาพยนตร์ นาฏศิลป์ ทัศนศิลป์ และวรรณกรรม
  • Australian Open ในเดือนมกราคม ศูนย์เทนนิสแห่งชาติ (National Tennis Centre) ของเมลเบิร์นจะจัดการแข่งขันเทนนิสแกรนด์แสลมของออสเตรเลีย ซึ่งดึงดูดนักเล่นเทนนิสที่ติดอันดับโลกหลายคน และเป็นโอกาสให้ผู้เข้าชมการแข่งขันระบายสีบนใบหน้าตามสีของธงชาติในการเชียร์ผู้เล่นของประเทศตน
  • Antipodes Festival ในเดือนมีนาคม ย่านชุมชนชาวกรีกบนถนนลอนสเดล (Lonsdale St) ซึ่งอยู่ระหว่างถนนสวอนสตันและถนนรัสเซล จะเฉลิมฉลองด้วยภาพยนตร์ ดนตรี และทัศนศิลป์ ตบท้ายด้วยการเฉลิมฉลองตามท้องถนนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ใกล้วันที่ 25 มีนาคมมากที่สุด
  • International Comedy Festival เป็นหนึ่งในสามเทศกาลการแสดงตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยรวบรวมไว้ซึ่งนักแสดงตลกที่มีฝีมือที่สุดของออสเตรเลีย และนักแสดงมือหนึ่งของโลกบางราย เทศกาลนี้จัดขึ้นที่หลายสถานที่ทั่วเมืองตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน
  • Melbourne International Film Festival เทศกาลนี้นำเสนอภาพยนตร์ของนานาชาติและท้องถิ่นที่ดีที่สุดบางเรื่อง โดยจัดขึ้นเป็นระยะเวลาสองสัปดาห์ในเดือนกรกฎาคมที่โรงภาพยนตร์หลายแห่งทั่วเมือง ซึ่งนอกจากจะได้เชิญแขกผู้ทรงเกียรติหลายท่านแล้ว ยังมีการจัดฟอรั่มต่าง ๆ และชมรมเฟสติวัล ซึ่งเป็นชมรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลังการฉายภาพยนตร์ด้วย
  • Royal Melbourne Show คนจากทั่วประเทศหลั่งไหลมาที่เมลเบิร์นเพื่อเข้าชมงานจัดแสดงด้านเกษตรกรรมที่ยิ่งใหญ่และได้รับความนิยมอย่างสูงนี้ ซึ่งจัดขึ้นที่เขตเฟลมมิงตั้น (Flemington) ในเดือนกันยายน โดยมีการแสดงของสุนัข การล้อมจับปศุสัตว์ การขี่ม้าข้ามสิ่งกีดขวาง เครื่องเล่น และอื่น ๆ อีกมากมาย
  • Hot Air Ballooning Festival จัดขึ้นช่วงเดือนเมษายน

การท่องเที่ยวฝรั่งเศส

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การท่องเที่ยวฝรั่งเศส                                                                                        

ข้อมูลท่องเที่ยวฝรั่งเศส

 
  
ธงชาติฝรั่งเศส
 
  
ตราประเทศฝรั่งเศส
ข้อมูลทั่วไปประเทศฝรั่งเศส
สาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่นๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรนจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติกชาวมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone)เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมืองประเทศมีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์รา สเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิลและซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนาและหมู่เกาะอินดีสเนเธอร์แลนด์ตะวันตก (ติดกับแซงต์-มาร์แตง)อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วยประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17เป็นต้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยมที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลกแผ่อาณาเขตตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกจนถึงเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้นๆ ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6ของโลก ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82ล้านคนต่อปี ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอีกด้วย ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกประชาคมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลกจีแปด นาโต้และ สหภาพละติน ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง
ประวัติศาสตร์ประเทศฝรั่งเศส
 
  
นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่
ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ Franceมาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ ศิลปะ และวัฒนธรรมต่อยุโรปเป็นอย่างมากฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อ นโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สองแต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ
ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน
วัฒนธรรมและประชากรประเทศฝรั่งเศส
วัฒนธรรม ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้นประชากร ประชากร ประชากรจำนวน 62.2 ล้านคน (ปี 2005) ความหนาแน่นของประชากร 96 คนต่อตารางกิโลเมตรเมืองมีประชากรมากกว่า 100,000 คนมีถึง 57 เมือง
สภาพภูมิอากาศประเทศฝรั่งเศส
ในฝรั่งเศสนับเป็นข้อได้เปรียบประการหนึ่งทางด้านการท่องเที่ยวโดยทั่วไปสามารถแบ่งเขตอากาศในฝรั่งเศส
ออกเป็น4เขตใหญ่ๆคือ -เขตอากาศแบบมหาสมุทรทางภาคตะวันตกของประเทศ ได้แก่ พื้นที่ Bayonne - Lille
ซึ่งมีความชื้นสูง เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน
-เขตอากาศแบบกึ่งแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ พื้นที่ Alsace Lorraine พื้นที่ตามแนวแม่น้ำ Rhône และพื้นที่ภูเขา
(Alpes - Pyrenees - Massif Central) ซึ่งหนาวเย็นมากในฤดูหนาว และค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน
-เขตอากาศแบบปานกลางซึ่งหนาวเย็นในฤดูหนาวและอบอุ่นใน ฤดูร้อน ได้แก่ ภาคเหนือของประเทศ พื้นที่ปารีส
และปริมณฑล และในเขตตอนกลางประเทศ
-เขตอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งไม่หนาวมากนักในฤดูหนาว แต่ร้อนมากในฤดูร้อน
ภาษา
ภาษาฝรั่งเศส (Francais)
สกุลเงิน
ใช้เงินสกุลยูโร (EURO) โดย 1 ยูโร มีค่าประมาณ 45บาทไทย ชนิดของธนบัตรมีตั้งแต่ 5, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 ยูโร ส่วนชนิดของเหรียญประกอบด้วย 1, 2, 5, 10, 20, 2, 1 ยูโร และ50 เซนต์ ณ วันที่ 20 ธันวาคม
ศุลกากร
ผู้เดินทางที่ไม่ใช่ประชากรสหภาพยุโรปต้องแสดงรายการสินค้า เพื่อเสียภาษีในกรณีที่ราคาเกินกว่า 175 ยูโร ขึ้นไป วัตถุต้องห้าม นำเข้า ได้แก่ ยาเสพย์ติดและยาผิดกฎหมาย อาวุธ พืชมีชีวิต งาช้าง ฯลฯ
สิ่งที่ควรทำ-ไม่ควรทำประเทศฝรั่งเศส
1.คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour)ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า หรือ บงซัว (Bonsoir)ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น และกล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า "โอ(เครอ)วัว(Au revoir)"ที่แปลว่า ลาก่อนและกล่าวขอบคุณว่า "แม็กซิ (Merci)
2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกันไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง
3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริหรว่า"การ์ซ็อง(garcon)"ที่ตรงกันกับภาษาอังกฤษว่าboy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุม โอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง
4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมาย
5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆ
6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับนั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำประเทศฝรั่งเศส
 
  
หอไอเฟล
หอไอเฟล(Eiffel)
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้นเมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นอนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือ หอมงต์ปาร์นาสส์(Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต)
ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต)
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น
 
 
  
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre museum)
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดังเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ภายในบรรจุงานศิลป์ อายุ  ยาวนานกว่า 11 ศตวรรษ จำนวน ประมาณ 380,000 ชิ้น ทั้งรูปปั้น ภาพวาด อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch และมีเพียงงานปั้นและภาพวาด 30,000 ชิ้น เท่านั้นที่นานๆจะนำออกมาแสดงหากจะย้อนดูความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คงต้องย้อนไปถึง ศตวรรษที่ 12 เมื่อครั้งที่กษัตริย์ ฟิลิปเป้ ออกัสเต้ ได้ก่อสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันกรุงปารีสจากหมู่โจรสลัด โดยจุดที่เลือกก่อตั้งคือริมแม่น้ำเซน ป้อมปราการ และคูคลองยุคกลางยังคงมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ต่อมาฟรังเชสที่ 1 ได้รื้อถอน ตึก เก่า แล้วได้สร้างขึ้นใหม่เป็นพระราชวังหลวงและที่พักในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมสำหรับจัดแสดงของสะสมของกษัตริย์นับแต่นั้นมา  นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่จัดงานแต่งของนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกและยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
 
 
  
พระราชวังแวร์ซายส์
พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaille Palace)
พระราชวังแวร์ซายส์ เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วยกิโยตินในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้
 
 
  
ประตูชัยฝรั่งเศส
ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe)
เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาวทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย ประตูชัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ"แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์" (L'Axe historique) ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเมืองปารีส ประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดยฌอง ชาลแกร็งในปีพ.ศ. 2349 โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลังต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ประตูชัยฝรั่งเศสมีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต) เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
แบบของประตูชัยฝรั่งเศสนี้ได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัส ประตูชัยฝรั่งเศสมีความใหญ่มาก เพราะหลังจากมีการสวนสนามในปรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2462 นีอูปอร์ต (Nieuport) ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีเหล่าทหารอากาศที่ได้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประตูชัยฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีสได้ถูกมอบหมายให้สร้างในปี พ.ศ. 2349 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ กว่าจะวางรากฐานของการก่อสร้างก็ใช้เวลาเกือบ 2 ปีไปแล้ว และในปี พ.ศ. 2353 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เสด็จกรุงปารีสจากทางทิศตะวันตกพร้อมด้วยเจ้าสาว อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย ประตูชัยฝรั่งเศสก็ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ในแบบจำลองเท่านั้นเอง สถาปนิก ฌอง ชาลแกร็ง ได้เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2354 ดังนั้นอูยงจึงได้ดูแลงานนี้ต่อมา ในช่วงราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู การก่อสร้างได้หยุดชะงักลงและไปเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ในระหว่าง พ.ศ. 2376 - พ.ศ. 2379 โดยสถาปนิกคือกูสต์ ต่อมาคืออูโยต์ ภายใต้การดูแลของหลุยส์-เอเตียนน์ เอริการ์ต เดอ ตูรี (Louis-Étienne Héricart de Thury)
 การท่องเที่ยวฝรั่งเศส